Advertisement
Not a member of Pastebin yet?
Sign Up,
it unlocks many cool features!
- ตอนที่ 29 การคัดเลือกศิษย์สายใน
- หยิ่นเทียนหลง สีหน้าสลดลง เมื่อมันมองไปที่ตัวอักษร “แปด” บนแผ่นหยกที่อยู่เบื้องหน้าของมัน มันเอามือ ไพร่ หลัง ใช้วิชาเดินบนสายลม ลอยขึ้นไปบนเวทีประลอง
- ในขณะที่เท้าของมันแตะพื้นเวทีประลอง หวังเถิงเฟย ยกเท้าซ้ายของมันขึ้น และทันใดนั้นทั่วทั้งเวทีประลองก็เริ่มสั่นพร้อมด้วยเสียงครืนดังออกมา ราวกับว่ามีเสียงของระเบิดได้เกิดขึ้นมาจากทุกมุมของเวทีประลองแห่งนั้น หวังเถิงเฟยไม่ได้เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย แต่พลังอันมากมายมหาศาลที่มองไม่เห็นก็พุ่งตรงไปที่หยิ่นเทียนหลง
- เมื่อมันได้เห็นดังนั้น สีหน้าของหยิ่นเทียนหลงก็เปลี่ยนไป หวังเถิงเฟยไม่แม้แต่จะเคลื่อนไหว ก็ได้สร้างพลังอันมหาศาลกดดันไปที่หยิ่นเทียนหลง ทำให้มันยากที่จะโคจรพลังลมปราณในร่างได้
- “ข้ายอมรับความพ่ายแพ้…” มันพูดขึ้นในทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่า มันไม่ต้องการที่จะได้ยินคำวิจารณ์ทั้งหลายที่เกี่ยวกับการตัดสินใจของมัน หลังจากที่แสดงความเคารพด้วยการประสานมือ มันก็พุ่งทะยานออกไปจากเวทีประลองและหายลับไปจากเขตพื้นที่สีเหลี่ยมจัตุรัสในทันที
- ผู้อาวุโสโอวหยางยังคงมีสีหน้าไร้ความรู้สึก พูดอย่างเนิบช้าขึ้นอีกครั้ง “หวังเถิงเฟยคือผู้ชนะ การต่อสู้รอบที่สอง หมายเลขสอง และ เจ็ด”
- เมื่อคำพูดดังออกมา เจ้าอ้วนก็มองไปยังตัวอักษร “สอง” ที่ได้สลักไว้บนแผ่นหยกของมัน และร่างก็เริ่มสั่นสะท้าน ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า ซึ่งอยู่ในระดับขั้นห้าของการรวบรวมลมปราณ ก็จ้องมองมาที่มันด้วยความเย็นชา จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนเวทีประลอง
- “แค่เดินขึ้น แล้วก็ยอมรับความพ่ายแพ้” เมิ่งฮ่าวกล่าวกับเจ้าอ้วนด้วยเสียงแผ่วเบา ผลักมันออกไปข้างหน้า ร่างกลมๆ ของเจ้าอ้วนก็ลอยขึ้นไปบนเวทีประลอง
- เมื่อมันยืนบนเวทีประลอง ก็รีบพูดว่า “ยอมรับ…” มันไม่ทันที่จะพูดคำที่สามออกมา ก่อนที่เจ้าอ้วนจะพูดจบ ผู้ฝึกตนที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า สองตาเต็มไปด้วยรังสีสังหาร ก็ยกแขนของมันขึ้น กระบี่บินก็พุ่งตรงไปที่เจ้าอ้วน พร้อมเสียงแหวกฝ่าอากาศด้วยความเร็วอย่างน่าตกใจ ตอนที่เจ้าอ้วนพูดคำว่า ‘ยอมรับ’ กระบี่บินก็ห่างจากลำคอของมันในระยะแค่หกฉื่อ
- ในเวลานั้นเมื่อเห็นได้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันก็สายไปแล้ว สีหน้าของเมิ่งฮ่าวเปลี่ยนไป และกำลังจะขยับตัวพุ่งออกไป ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้อาวุโสโอวหยางก็สะบัดวัตถุบางอย่างออกไปด้วยพลังนิ้ว ก่อนที่กระบี่บินจะแทงทะลุลำคอของเจ้าอ้วน เสียงสดใสกังวาลก็ได้ยินไปทั่ว และกระบี่บินก็หักเหทิศทางไป คอเจ้าอ้วนมีรอยกรีดเพียงเล็กน้อย โลหิตไหลซึมออกมา
- เจ้าอ้วนถอยหลังไปก้าวใหญ่ สีหน้าซีดขาว จากนั้นมันก็กระโดดลงจากเวทีประลอง และวิ่งกลับไปหาเมิ่งฮ่าวด้วยความกลัว มันไม่เคยมีประสบการณ์ที่ใกล้ชิดกับความตายเช่นนี้มาก่อน
- เมิ่งฮ่าวมองไปที่โลหิตที่ซึมออกมาเป็นลายเส้นบนคอของเจ้าอ้วน และรังสีสังหารก็ปรากฎขึ้นในดวงตาของเขา คู่ต่อสู้ของเจ้าอ้วนโจมตีอย่างโหดเหี้ยมชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง และเห็นได้ชัดว่าต้องการที่จะสังหารมัน ถ้าเป็นเมิ่งฮ่าวเจอแบบนั้นก็คงไม่เป็นไร แต่เจ้าอ้วนมีพลังการฝึกตนที่ต่ำเกินไป การโจมตีไปแบบนั้น เป็นเรื่องที่เมิ่งฮ่าวยากที่จะยอมรับได้
- มองไปรอบๆ เมิ่งฮ่าวก็เห็นซ่างกวนซิวยืนอยู่ในที่ที่ห่างออกไป ใบหน้าที่น่ากลัวของเขาเต็มไปด้วยรังสีสังหาร เปลวไฟแห่งโทสะได้ระเบิดออกมาในจิตใจของเมิ่งฮ่าว เขาไม่เคยทำอะไรหรือไปขัดใจซ่างกวนซิวมาก่อน แต่ซ่างกวนซิวกลับเป็นฝ่ายมาหาเรื่องเขาก่อน เป็นผู้ที่สั่งให้เจ้าหน้ารอยแผลเป็นมาโจมตีเจ้าอ้วนด้วยความต้องการที่จะสังหารให้ตกตาย
- ในตลอดสองปีที่ผ่านมาในสำนักเอกะเทวะแห่งนี้ เมิ่งฮ่าวไม่เคยแสดงรังสีสังหารที่เข้มข้นรุนแรงเช่นนี้ออกมาเลย แต่ตอนนี้สองตาของเขาส่องประกายด้วยรังสีสังหารอันเข้มข้นอย่างชัดเจน
- สิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้ ได้ส่งผลที่เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งแม้แต่ศิษย์สายนอกที่อยู่รอบๆ นั้นก็สามารถบอกได้ จากหนึ่งไปสองแล้วก็ต่อไปเรื่อยๆ พวกมันเริ่มที่จะมองไปที่เมิ่งฮ่าว เสียงพูดซุบซิบก็ดังขึ้นไปทั่ว
- “รอบต่อไป หมายเลขสาม และ หก” ผู้อาวุโสโอวหยางพูดไป ก็ขมวดคิ้วไปด้วย
- หารจงยืนขึ้น แผ่นหยกหมายเลขสามอยู่ในมือของมัน เมื่อมันเดินผ่านเมิ่งฮ่าว มันก็กระซิบว่า “เจ้าไปขัดใจท่านอาจารย์ลุงซ่างกวน ไม่เพียงแต่เจ้าเท่านั้นที่จะตายในวันนี้ สหายของเจ้าก็จะต้องตายไปด้วย” ในสำนักแห่งนี้สามารถกล่าวได้ว่านอกเหนือจากผู้อาวุโสคนอื่นๆ แล้ว ซ่างกวนซิวเป็นคนที่มีพลังอำนาจมากที่สุด และทรงอิทธิพลในหมู่ศิษย์ของสำนักมากที่สุดคนหนึ่ง
- สืบเนื่องมาจากความเสื่อมโทรมของสำนักเอกะเทวะ ทำให้มีศิษย์จำนวนน้อย ความยุ่งเหยิงของกฎของสำนัก และการเข่นฆ่าระหว่างศิษย์สายนอกด้วยกันเอง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าสำนักเอกะเทวะใกล้มาถึงจุดจบในยุคของมันแล้ว และไม่เหมือนกับสิ่งที่เคยเป็นมาแม้แต่น้อย
- จำนวนเม็ดยาก็มีเพียงเล็กน้อย การแจกจ่ายอย่างยุติธรรมจะทำได้อย่างไร…เม็ดยาเพิ่มลมปราณก็ไม่มากนัก จึงแน่นอนว่ามันจะกลายเป็นต้นเหตุของการต่อสู้จนถึงแก่ความตาย ระหว่างศิษย์ด้วยกันเพื่อให้ได้เม็ดยามากลืนกินช่วยเพิ่มพลังลมปราณ
- ดังนั้น ทุกๆ คนเพื่อตัวของมันเอง ก็ปล่อยให้เกิดความวุ่นวายไป ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ระดับขั้นหนึ่งของการรวบรวมลมปราณ หรือระดับขั้นห้า ปล่อยให้เกิดความวุ่นวายไปทั้งกฎและความตาย มันไม่มีความยุติธรรมอยู่ที่นี่ การมีชีวิตอยู่หรือตกตายไป ถูกตัดสินโดยโชคชะตา
- ไม่มีคำสั่งสอน ไม่มีใครให้คำแนะนำว่าควรจะฝึกฝนตัวเองอย่างไร มีเพียงตำรารวบรวมลมปราณเพียงเล่มเดียว ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นหนอนที่น่าสมเพช หรือมังกรผู้ยิ่งใหญ่ ก็มีแต่พึ่งพาได้เพียงโชคของมันเท่านั้น ถ้าประสบความสำเร็จ ก็มีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าล้มเหลว ก็ตกตายไป ถ้าเข้มแข็ง ก็รอด ถ้าอ่อนแอ ก็จบสิ้น
- ใครก็ตามที่สามารถเข่นฆ่าจนสร้างเป็นเส้นทางไปสู่จุดสิ้นสุดได้ ก็จะกลายเป็นศิษย์สายใน และจะเป็นศิษย์ที่แท้จริงของสำนักเอกะเทวะ และเป็นศิษย์ที่แท้จริงของผู้อาวุโสโอวหยาง
- ในอดีตที่ผ่านมา เจ้าสำนัก เฮ่อหลัวฮว่า ได้เน้นไปที่การสร้างสำนักให้มีความแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่สำเร็จด้วยแรงกดดันของความเป็นจริง เขาจึงได้หลีกเลี่ยงความเป็นจริงโดยการหลบหน้าไปนั่งกัมมัฎฐานเป็นเวลานาน ผู้อาวุโสโอวหยางเป็นผู้ที่มีบุคลิกอันอ่อนโยนนุ่มนวล และพลังการฝึกตนของท่านก็ก้าวไปไกลเท่าที่จะไกลได้ ตอนนี้ท่านก็อยู่ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิตอันยาวนาน มีเวลาเหลืออยู่ไม่มากนัก ดังนั้นท่านจึงไม่มีพลังมากพอที่จะใช้เวลาอยู่ในสำนัก
- ท่ามกลางศิษย์สายในศิษย์พี่หญิงฉื่อ ก็มักจะนั่งสมาธิเพียงลำพังไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ด้วยบุคลิกส่วนตัวที่เย็นชา นางจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนักเกี่ยวกับกิจการในสำนัก ศิษย์พี่เฉินก็ให้ความสำคัญมุ่งเน้นไปที่วิถีทางแห่งเต๋า และไม่ได้เข้าร่วมในงานของสำนักเช่นเดียวกัน เมื่อแต่ละคนต่างก็มีพฤติกรรมเช่นนี้ ก็คงเหลือ ซ่างกวนซิว เพียงเท่านั้น
- พลังการฝึกตนของมัน อยู่ที่ระดับเก้าของการรวบรวมลมปราณ และมันมีอายุเก้าสิบปี มันได้ทำงานรับใช้สำนักเป็นอย่างดี และกลายมาเป็นอาจารย์ลุงของศิษย์ในสำนักอย่างช่วยไม่ได้ แต่สำนักอยู่ในช่วงตกต่ำ ทำให้สำนักอื่นๆ เห็นว่ามันอยู่แค่ระดับการรวบรวมลมปราณเท่านั้น ไม่ควรจะเรียกมันว่าอาจารย์ลุง
- เมิ่งฮ่าวมองหารจงเมื่อมันทะยานขึ้นไปบนเวทีประลองราวประกายแสง คู่ต่อสู้ของมันก็คือโจวข่าย และดูเหมือนว่านี่จะเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีผลต่อชีวิต โจวข่ายยอมรับความพ่ายแพ้ในทันที และการคัดเลือกก็จบลงโดยไม่มีการต่อสู้
- การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของรอบแรกได้มาถึง เมิ่งฮ่าวลุกขึ้นยืน และเหินไปบนเวทีประลอง คู่ต่อสู้ของเขาเป็นบุรุษรูปร่างสูงและกำยำแข็งแรง ผู้ซึ่งอยู่ในระดับขั้นห้าของการรวบรวมลมปราณ ร่างของมันแผ่รังสีสังหารออกมารุนแรง จากการที่เมิ่งฮ่าวมองไปที่มัน ก็สรุปได้ว่ามันมีประสบการณ์ในการสังหารผู้คนมามากมาย
- มันมองมาที่เมิ่งฮ่าว และคำรามออกมา วิ่งตรงมาที่เขา ร่างของมันขยายใหญ่ขึ้น ยกแขนขึ้นมาและทันใดนั้น ขวานที่ส่งประกายวาววับก็ปรากฎขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเป็นวัตถุที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
- เมิ่งฮ่าวสีหน้าเคร่งเครียด ตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ กระบี่บินก็ปรากฎขึ้นมาอย่างรวดเร็วและพุ่งตรงออกไป แต่เมื่อพุ่งห่างจากบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้นราวหกฉื่อ เกราะป้องกันอันอ่อนนุ่มก็ปรากฎขึ้น ป้องกันการโจมตีจากกระบี่บินไว้ได้
- “วันนี้เจ้าต้องตาย!” บุรุษร่างสูงใหญ่ ตวาด ขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มที่น่าเกลียด ก่อนที่มันจะมาร่วมคัดเลือกในครั้งนี้ ซ่างกวนซิวได้มอบอาวุธเวทให้มัน ถึงแม้ว่าพลังการฝึกตนของเมิ่งฮ่าวจะสูงกว่ามันเล็กน้อย มันก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
- “ตูม” เมิ่งฮ่าวตะโกนขึ้นมาอย่างเย็นชา สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเหมือนเดิม กระบี่บินได้ระเบิดขึ้นพร้อมเสียงตูม ส่งผลให้บุรุษร่างสูงใหญ่กระเด็นกลับไป เกราะป้องกันที่อยู่เบื้องหน้ามันส่องประกาย ป้องกันมันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ
- มันพุ่งเข้ามาอีกครั้งพร้อมเสียงหัวเราะ แต่เมิ่งฮ่าวรวดเร็วกว่า เขาพุ่งไปข้างหน้า ตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ กระบี่บินสองเล่มปรากฎขึ้น พุ่งออกไปจากนั้นก็ระเบิดออกมาเสียงดังกึกก้อง และเกราะป้องกันของมันก็เริ่มงอโค้ง สีหน้าของบุรุษร่างสูงใหญ่เปลี่ยนไป และก่อนที่มันจะขยับตัว กระบี่บินอีกสี่เล่มก็พุ่งเข้ามา เกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง และเกราะป้องกันก็ฉีกขาดกระจายออกเป็นชิ้นๆ กระบี่บินพุ่งแทงทะลุผ่าน ตรงเข้าไปที่หน้าอกของบุรุษร่างสูงใหญ่ มันส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าอนาถใจ และพ่นโลหิตออกมาจากปาก
- ก่อนที่ร่างของมันจะล้มกระแทกพื้น กระบี่บินอีกเล่มก็พุ่งออกมาจากเมิ่งฮ่าว ส่องประกายวาววับเมื่อมันได้แทงเข้าไปในลำคอของบุรุษผู้นั้น มันตกลงไปนอนกระตุกบนพื้นในกองโลหิต แล้วก็ตายไป
- ตั้งแต่ที่ได้เข้าสังกัดสำนักมา เมิ่งฮ่าวไม่ได้สังหารใครมากมาย แต่เวลานี้เขาได้สังหารบุรุษผู้นี้ด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต เขาเหินลงมาจากเวทีประลอง มองไปที่หารจงด้วยสายตาที่เย็นเยียบ
- “ครั้งหน้า เจ้าตาย” เขาพูดขึ้น นั่งขัดสมาธิ ปิดตาลง
- แก้วตาหารจงหดเล็กลง และรังสีสังหารของมันก็เข้มข้นมากยิ่งขึ้น
- เสียงซุบซิบสนทนาดังกระหึ่มจากศิษย์สายนอกที่ดูอยู่รอบๆ เมื่อพวกมันได้สติกลับคืนมาจากเหตุการณ์ที่ได้เห็น พวกมันตกใจจากความกระหายเลือดของเมิ่งฮ่าว
- “เมิ่งฮ่าวเป็นผู้ชนะ การแข่งขันครั้งแรกของรอบสอง คือ หวังเถิงเฟย และ ซูเกอ” เสียงของผู้อาวุโสโอวหยางเย็นชา ราวกับว่าท่านไม่ได้สัมผัสถึงกลิ่นคาวโลหิตแม้แต่น้อย
- ซูเกอ ก็คือ ผู้ฝึกตนที่พยายามจะสังหารเจ้าอ้วนเมื่อก่อนหน้านี้ เมื่อมันได้ก้าวเท้าขึ้นไปบนเวทีประลอง มันก็ยอมรับความพ่ายแพ้ ทำความเคารพหวังเถิงเฟยด้วยการประสานมือ หันหลังกลับและออกไปจากเขตสี่เหลี่ยมจัตุรัสอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
- ถึงจุดนี้ ทุกคนก็สามารถเห็นได้ว่าหารจง หรือ ผู้ฝึกตนทั้งสี่คนที่อยู่ในระดับขั้นห้า เป้าหมายของพวกมันไม่ได้อยู่ที่การเลื่อนขั้น แต่มีเป้าหมายที่ต้องการสังหารเมิ่งฮ่าวมากกว่า
- “การต่อสู้ครั้งที่สอง เมิ่งฮ่าว และ หารจง” ผู้อาวุโสโอวหยางมองไปที่เมิ่งฮ่าวอย่างตั้งใจ และเมื่อท่านพูดจบ ความเงียบก็ปกคลุมไปทั่วทั้งเขตสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทุกคนจ้องไปที่เมิ่งฮ่าว และหารจง
- เมิ่งฮ่าวดูมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิมเมื่อเขาก้าวขึ้นไปบนเวทีประลอง หารจงขึ้นไปถึงเกือบจะเป็นเวลาเดียวกับเมิ่งฮ่าว ไม่มีความจำเป็นต้องแนะนำอะไรทั้งสิ้น ทั้งสองโจมตีซึ่งกันและกันในเวลาเดียวกัน
- เสียงดังราวฟ้าร้องดังออกมา เมื่อกระบี่บินสามเล่มปรากฎขึ้น หมุนวนอยู่รอบๆ เมิ่งฮ่าว เกราะป้องกันของหารจงก็ปรากฎขึ้นโคจรไปมารอบๆ ตัวมัน และเบื้องหน้าของมัน ก็มีแผ่นป้ายห้าสีส่องแสงเรืองรองปรากฎออกมาด้วย ในทันใดนั้นก็พุ่งกวาดตรงไปที่เมิ่งฮ่าว
- เมิ่งฮ่าวไม่พูดสิ่งใด เมื่อแผ่นป้ายห้าสีตรงมาถึง เขาไม่ล่าถอย เขายกแขนซ้ายขึ้นมา และทันใดนั้น เปลวไฟแห่งงูที่ยาวประมาณสี่สิบห้าฉื่อก็ปรากฎขึ้น มันส่งเสียงคำรามและพุ่งไปเบื้องหน้า เปลวไฟแห่งงูไม่ได้รูปร่างคล้ายงูตัวเล็กๆ แต่ใหญ่โตคล้ายงูเหลือม รังสีพลังความร้อนของมันกระจายออกมาเมื่อมันพุ่งออกไป
- ในเวลาเดียวกันนั้น มือขวาของเมิ่งฮ่าวก็ตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ กระบี่บินหกเล่มก็ปรากฎขึ้นและพุ่งตรงไป
- หารจงหัวเราะเสียงเย็นเยียบ ดวงตาของมันทอประกายแห่งรังสีการฆ่าฟัน มันก้าวไปข้างหน้า จากนั้นก็ตบมือซ้ายลงไปที่พื้น เมื่อมันยืนขึ้น เสียงกึกก้องก็ดังขึ้น และทั่วทั้งเวทีประลองก็เริ่มสั่น ทันใดนั้นที่เบื้องหน้าของมันก็ปรากฎยักษ์หินขึ้นมา สูงประมาณเก้าร้อยฉื่อ ด้วยเสียงคำรามดังกึกก้อง ยักษ์หินก็พุ่งตรงไปที่เมิ่งฮ่าวด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ เมื่อมันกระแทกไปที่เปลวไฟแห่งงู เสียงระเบิดอย่างรุนแรงราวเสียงฟ้าผ่าก็ดังไปทั่วเวทีประลอง
- ท่ามกลางเสียงคำราม แผ่นป้ายห้าสีก็พุ่งตรงมา เมื่อมาใกล้ถึงกระบี่บินของเมิ่งฮ่าว ดวงตาของหารจงก็เปล่งประกายสว่างจ้า
- “วิชาห้ารังสีประหาร!”
- สิ้นเสียงของ หาร จง ทันใดนั้น แผ่นป้ายห้าสีก็สั่นกระเพื่อม จากนั้นก็เริ่มส่องประกายแสงสว่างจ้าไปทั่วทุกทิศทาง กระแสของหมอกสองสีก็พุ่งออกมา กลายร่างเป็นวิญญาณสองตน พุ่งตรงเข้าหาเมิ่งฮ่าวด้วยเสียงร้องแหลมสูง สำหรับวิญญาณตนที่สองของกระแสหมอกสองสีเพียงเห็นได้แค่บางส่วน เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะระดับของการฝึกตนของ หาร จง มันจึงมีขีดจำกัดในการใช้วิชานี้
- เมื่อวิญญาณแห่งหมอกสองสีปรากฎขึ้น ศิษย์สายนอกที่อยู่รอบๆ ก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
- “นั่นเป็นวิชาห้ารังสีประหารที่สมบูรณ์แบบของท่านอาจารย์ลุงซ่างกวน! กล่าวกันว่ามันเป็นหนึ่งในวิชาที่แข็งแกร่งที่สุด สำหรับศิษย์ในสำนักที่ยังไม่มีพื้นฐานที่สมบูรณ์ ศิษย์พี่หารจงเรียกออกมาได้เพียงแค่สองตนเท่านั้นเอง!”
- “ดังนั้นหารจงสามารถใช้วิชานี้! ใช่แล้ว มันต้องเป็นเพราะแผ่นป้ายนั้นแน่นอน มันเป็นอาวุธเวทที่ได้รับมาจากท่านอาจารย์ลุงซ่างกวนใช่หรือไม่?”
- พร้อมเสียงแหลมสูงแสบแก้วหู วิญญาณแห่งหมอกสองสีก็พุ่งตรงเข้าหาเมิ่งฮ่าวด้วยพลังที่ยากต่อต้าน เมื่อกระบี่บินหกเล่มของเขากระทบพวกมัน กระบี่ก็แตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
- --
- --
- จบตอนที่ 29
Advertisement
Add Comment
Please, Sign In to add comment
Advertisement