Advertisement
Not a member of Pastebin yet?
Sign Up,
it unlocks many cool features!
- ผมกับเพื่อนพักอยู่ในคอนโดตึกเดียวกัน แต่คนละห้อง
- เวลามีปาร์ตี้ เพื่อน ๆ ก็มักจะมาปาร์ตี้ห้องผมนี่แหละ ก็เปิดทีวี ต่อคอมเปิดหนัง เปิดซีรี่ส์ดู ตามประสา
- แล้วก็ถกประเด็นกันอย่างเมามัน
- วันก่อนหลังจากกินข้าวเสร็จ เพื่อนผมก็แวะมานั่งโม้ที่ห้อง หลังจาก “เติม” กันจนได้ที่ เราก็เริ่มพูดอะไรวิชาการขึ้น บวกกับอาการมึน ๆ เล็กน้อย
- ไม่รู้อีท่าไหน จู่ ๆ เราก็คุยกันเรื่องห้างสรรพสินค้า
- จนได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วเนี่ย ประเทศที่เจริญ ๆ เค้าไม่ค่อยมีห้างกัน
- พอลอง Google ดู ปรากฏว่าห้างใหญ่ ๆ 10 อันดับแรก ไม่ได้อยู่ในประเทศโลกที่หนึ่ง
- และที่น่าตกใจคือ Central world แม่งติดอันดับ 9 เว้ย
- เหยดดดดดดดดดดดดดดดดด
- ด้วยความที่ผมโง่ เลยยิ่งงงเข้าไปอีก ว่าอ่าว เฮ้ย แล้วไม่มีห้าง แล้วเวลาว่างแม่งทำไร
- เพื่อน : มึงรู้ไหมว่าลอนดอนเนี่ย มีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ มึงลอง Google ดู
- หลังจาก Google ปุ๊ป แม่งตกใจสัส !!! ในปี 2015 ลอนดอนมีนักท่องเที่ยวทั้งหมด 31.5 ล้านคน !!!
- เหี้ยยยยยยยยยยยยยยย เหี้ย ๆๆๆ
- เยอะสัส ๆ เกือบครึ่งนึงของประชากรในประเทศไทยอะ
- เพื่อน : อ่า คราวนี้มึงลอง หาจำนวนนักท่องเที่ยวปาริสดู ปาริสเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเยอะที่สุดในโลก
- ปรากฏว่าพอลอง Google ดู แม่งซัดไป 32 ล้านคน !!!
- เหยดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
- เพื่อน : คราวนี้ มึงลอง Google ดู ว่าปาริสมี “พลเมือง” ที่เป็นปารีเซียง (คนปารีส) มีจำนวนเท่าไหร่
- ปรากฏว่า มีปารีสมีพลเมืองอยู่แค่ 2 ล้านกว่าคนเอง
- สมมติง่าย ๆ ถ้าเราเดินในปาริส เจอคน 10 คน จะเป็นนักท่องเที่ยว 9 คน และเป็นปารีเซียงแค่คนเดียว
- เพื่อน : คนปารีสเค้าไม่ค่อยเดินห้างกันนะ เอาง่าย ๆ เวลาดูละครไทย จะมีฉากเดินห้างใช่ปะ แต่ในซีรี่ส์ฝรั่ง เราแทบไม่เห็นฉากเดินห้างเลย เต็มที่ก็ซื้อเสื้อผ้า จากร้านขายเสื้อผ้า
- ผม : แล้ว คนปารีสเค้าไม่เดินห้าง แล้วเค้าทำไรกันอะ ทำไมเค้าไม่ชอบเดินห้าง แล้วทำไมโลกที่ 3 ถึงเดินห้างกันเยอะ
- เพื่อน : เอ้า ทำไมเค้าต้องเดินห้างอะ ประเทศเค้ามีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะ และที่สำคัญ เมืองร้อนไม่มีอะไรดี ที่เค้าต้องเดินห้างกัน เพราะมันร้อน มึงจำตอนกรุงเทพอากาศหนาวได้ใช่ปะ ตอนนั้นเรายังเดินคุยกันเป็นกิโลได้เลย ถ้าอากาศร้อน เราไม่มีอารมณ์มาเดินเล่นกลางแจ้งหรอก เราก็ต้องเข้าห้าง ไปแอบแอร์เย็น ๆ
- ผม : อ๋ออออออออออออออ สมมตินะ สมมติว่ากรุงเทพมีนักท่องเที่ยวเยอะแบบปารีสเลย ร้านข้าวมันไก่หน้าปากซอยเรา ที่ตั้งโต๊ะบนฟุตบาทเล็ก ๆ มีไม่ถึง 10 โต๊ะ จะแปรสภาพเป็นยังไง ?
- เพื่อน : ก็จะเป็นร้านข้าวมันไก่ที่เป็นตึกแถว เป็นเรสเตอรอง ไม่ก็ร้านที่ได้ดาวมิชลินไปเลย ถ้านึกภาพไม่ออก ให้นึกถึงไชน่าทาวน์ที่เราไปวันก่อน นั่นแหละ มีคนเยอะแบบนั้น แล้วก็มีร้านอาหารเป็นตึกแถว ภัตตาคารไปเลย
- ผม : อ๋ออออออออออออ เอางี้ ๆ ขออีกตัวอย่าง ถ้าสมมติประเทศไทยเป็นประเทศโลกที่หนึ่งขึ้นมาจริง ๆ มีนักท่องเที่ยวเยอะขึ้นมาจริง ๆ เขียงหมู จะมีหน้าตาเป็นยังไงวะ
- เพื่อน : ก็จะกลายเป็นร้านบุชเชอร์ไปเลย ไม่อยู่ในตลาด อยู่ในตึกแถว จะสะอาดและอนามัยขึ้น เพราะยุโรปเป็นชาติที่บ้าความสะอาด
- ผม : แสดงว่าในประเทศที่เจริญแล้ว ก็มีแต่ร้านเรสเตอรอง ร้านที่ได้ดาวมิชลิน ก็ต้องมีแต่ร้านแพง ๆ ดิ แล้วประชาชนมีเงินเข้าหรอวะ ร้านมันแพงนะ
- เพื่อน : ก็บ้านมันรวย
- ผม : ………………..
- เพื่อน : อะไร
- ผม : อธิบายเพิ่มหน่อย แบบ บ้านมันไม่มีข้าวตามสั่งแบบบ้านเราใช่ปะ แล้วมันมีเงินหรอ
- เพื่อน : คืองี้ ในประเทศที่เจริญแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่มีกินมีใช้ ส่วนใหญ่แล้ว เกือบทุกบ้านมีครัวเป็นของตัวเอง และ นิยมทำกับข้าวกินเองเพราะราคามันถูกกว่า และที่สำคัญ นอกจากมันจะมีเงิน มันยังมีเวลา
- ผม : มีเวลา ?
- เพื่อน : ก็พวกมันทำงานวันละ 5 ชั่วโมงเอง เป็นไงรู้สึกหดหู่กับประเทศหรือยัง
- ผม : …………………
- เพื่อน : เป็นไง รู้สึกหดหู่ใช่ปะ
- ผม : อืม
- เพื่อน : มึงรีบหดหู่ไป มันยังมีอะไรให้มึงหดหู่อีกเยอะ
- ผม : ยังไง จัดมา
- เพื่อน : ในประเทศที่เจริญแล้ว มันมีเงิน มีเวลาว่าง ทำกับข้าวกินเอง แต่ถึงอย่างนั้น มันก็มีเงินพอจะกินร้านอาหารแพง ๆ ที่ได้ดาวมิชลิน อย่างเป็นปกติ กินร้านแพง ๆ เดือนละ 3-4 ครั้ง ขนหน้าแข้งก็ไม่ร่วง ในขณะที่คนไทย ต้องเก็บตังค์แทบตาย ถึงจะมีปัญญาไปแดงร้านหูฉลามแพง ๆ ได้
- ผม : ……………… เฮ้อออออออออ หดหู่วะ เอางี้ ๆ ประเทศมันไม่มีคนจนเลยหรอ แล้วคนจนแดกอะไร มันมีปัญญาแดกร้านแพง ๆ ด้วยหรอ
- เพื่อน : ประเทศมันก็มีคนจนแหละ เพียงแต่ต่อให้จนก็ไม่ลำบากมาก เต็มที่ก็กินพวกร้าน Food truck พวกร้านรถเข็น ฮอตด็อก
- ผม : อ๋อออออออออออ แล้ว เราจะทำยังไง ให้ประเทศเรามีนักท่องเที่ยวเยอะแบบนั้นบ้างอะ
- เพื่อน : บ้านเราก็นักท่องเที่ยวเยอะ แต่ว่าบ้านเราก็จน
- ผม : อ่าวเฮ้ย ทำไมอะ
- เพื่อน : เพราะของเราถูกไง
- ผม : แล้วทำไงให้ของเราแพงอะ
- เพื่อน : ก็พัฒนาแรงงานฝีมือไง
- ผม : ยังไงอะ
- เพื่อน : ก็ขายของที่มันดีกว่านี้ไง
- ผม : เดี๋ยว บ้านเราก็มีของดีหนิ
- เพื่อน : ไม่มึง ใจเย็น ๆ
- ผม : งั้นเอางี้ ๆ ทำไมร้านข้าวมันไก่หน้าปากซอยเรา ทำไมถึงไม่กลายเป็นร้านที่เป็นตึกแถว เป็นห้อง ๆ
- เพื่อน : มันก็มี มีหมดแหละไอสัส ร้านขาหมู ร้านผัดไท ย่านดัง ๆ อย่างประตูน้ำงี้ มันมีแหละ ประเด็นคือ มึงมีปัญญาไปกินไหมล่ะ
- ผม : อ๋ออออ
- เพื่อน : เอางี้ ถึงร้านแพง ๆ ในปารีสเนี่ย คนท้องถิ่นจะไม่ได้กินทุกวัน แต่เค้าก็มีปัญญาเข้าไปกินกันทุกคน ถึงจะอาทิตย์ละครั้ง แต่คนไทยเนี่ย เหมือนไปกินหูฉลามภัตตาคารเนี่ย ต้องเก็บตังค์กี่ปี ? จริง ๆ ก็ไม่ต้องเก็บตังค์หรอก เพราะแม่งไม่มีปัญญาเข้าไปแต่แรก ก็มีแต่เจ้าสัวแหละที่เข้าไปแดก
- ผม : เฮ้ย เพราะอะไรวะ เพราะประเทศเราจนหรอ
- เพื่อน : ใช่
- ผม : เฮ้ย แสดงว่าต่อให้ประเทศเรามีนักท่องเที่ยวเท่าปารีส…
- เพื่อน : ประเทศไทยเนี่ย บางปีกรุงเทพชนะปารีส
- ผม : ……………..
- เพื่อน : ต่อให้นักท่องเที่ยวเราเยอะ แต่ด้วยของเราถูก กำไรต่อ Unit มันก็ยังน้อยอยู่ดี ยุโรปมันคนน้อย มันทำอะไรมันก็ตั้งใจทำ เหมือนอย่าง shop ต่าง ๆ อะ ส่วนใหญ่แม่งก็เป็นของ handmade อะ มันมีนักท่องเที่ยวเยอะ ลูกค้าเยอะ ประกอบกับมันมีเวลาว่างเยอะ มันเลยทำสินค้าออกมาอย่างตั้งใจ ทำให้ราคาแพง
- ผม : อ๋อออออออออออ
- เพื่อน : อะ มึงอยากรู้อะไรอีก ถามมา เดี๋ยวกู “เติม” แปป ถามมาพลาง ๆ
- ผม : อ่า ๆ
- เพื่อน : เอ้อ อีกอย่าง ยุโรปมันไม่ได้ขยันกว่าเรา แต่แค่มันเกิดปฏิวัติอุตสาหกรรม เราเข้าใจผิดว่ายุโรปมันขยัน มันจะขยันได้ไง มันทำงานวันละ 5 ชั่วโมงเอง ถ้าขยันไปถามคนฮ่องกง สิงคโปร์นู้น
- ผม : เดี๋ยว ๆ ยุโรปไม่ขยัน แล้วทำไมมันเจริญอะ
- เพื่อน : มันมีวินัย และทำงานมีประสิทธิภาพ
- ผม : ยังไงอะ ขอแบบรูปธรรม
- เพื่อน : เอางี้ สมมติว่าเราเป็นประเทศเรา เรามีขวาน 1 อัน เราก็ฟันต้นไม้ ส่วนยุโรป มันมีเลื่อยไฟฟ้า
- ผม : อุปกรณ์มันดีกว่าหรอ ? แล้วเราซื้ออุปกรณ์มันได้ไหม เราจะได้เจริญเท่ามันไง
- เพื่อน : ไม่ได้
- ผม : อ่าวเฮ้ย ทำไมอะ
- เพื่อน : เพราะอุปกรณ์ในที่นี้ หมายถึง Know how
- ผม : เอ้า เราก็ซื้อมันมาสิ
- เพื่อน : สัส !!!! มึงใจเย็น ๆ เอางี้ มึงเคยอ่านบทความ The matter โมเมนตั้มส้นตีนอะไรนั้นไหม ที่บอกว่าจีนผลิตปากกลูกลื่นได้อะ
- ผม : อ๋อออออออออ จำได้ ๆ เคยอ่านอยู่
- เพื่อน : นั่นก็เป็น Know how อย่างนึง มึงลองคิดดูนะ พี่จีนแม่งก๊อปชาวบ้านได้มีกี่สิบล้านปีแสงแล้วสัส มันเพิ่งผลิตหัวปากกาลูกลื่นได้อะ จีนอะมีเทคโนโลยีล้ำหน้ามากในการผลิต คนไทยชอบคิดว่าเทคโนโลยีกาก แต่ไม่ใช่สัส มึงลองคิดดู มันก๊อปของชาวบ้านไม่ได้ขนาดนั้นหรอก ถ้าเทคโนโลยีมันไม่เจ๋งอะ
- ผม : เออวะ บางอันแค่ Startup อยู่เลย ยังอยู่ในช่วงระดมทุน ยังไม่เปิดขาย พี่จีนแม่งขายตัดหน้าแล้ว แล้วถูกกว่าด้วย
- เพื่อน : นั่นแหละ มันมีเทคโนโลยี แต่ การคิดนวัตกรรมใหม่อะ มันไม่ค่อยมี แล้ว Know how บางอย่างก็ยากเหลือเกิน อย่างไอปากกาลูกลื่นนั่นแหละ
- ผม : เดี๋ยว ๆ แต่กูก็ยังงงอยู่ดีอะ ในเมื่อยุโรปทำงานน้อยกว่า ทำไมมันถึงรวยกว่าอะ
- เพื่อน : เอาแบบนี้ สมมติในไทยเนี่ย มึงทำงานอะไรซักอย่างเนี่ย มึงต้องหาข้อมูลทุกอย่างเองเลย หาข้อมูลตั้งแต่ต้นเลย ส่วนของยุโรปเนี่ย 90% มีฐานข้อมูลให้มึงใช้เรียบร้อย
- ผม : เดี๋ยว ๆ
- เพื่อน : เอางี้ สมมติมึงว่าอยากวิจัยว่า คนแถวนี้เนี่ยชอบกินข้าวอะไร
- ผม : อ่า ๆ
- เพื่อน : ด้วยความว่าเราไม่เคยวิจัยเลยใช่ไหม เราก็ต้องเริ่มจากการแจกแบบสอบถาม
- ผม : อ่า ๆ
- เพื่อน : นั่นแหละ เราอะต้องเริ่มจากแบบสอบถาม แต่เค้าอะ มีของแบบนี้เก็บไว้นานแล้ว
- ผม : เอ้า แล้วทำไมเราไม่มีเก็บอะ
- เพื่อน : มึงรู้ไหมว่าข้อมูลพวกนี้เนี่ย มันมีมูลค่ามหาศาล ยุโรปมันมีวัฒนธรรมการจดบันทึก
- ผม : กูยังงง ๆ กับ Know how อยู่วะ อธิบายเพิ่มหน่อย
- เพื่อน : เอางี้ มึงรู้จัก Jusy in time ของ Toyota ไหม
- ผม : มันคือ ?
- เพื่อน : มันคือการผลิตรถให้เสร็จภายใน 1 นาที
- ผม : ………..
- เพื่อน : 1 นาทีในที่นี้ มันไม่ใช่เวลาผลิตทั้งหมด แต่หมายถึง เวลาที่กระบวนการหนึ่ง ไปยังกระบวนการหนึ่ง เสร็จภายใน 1 นาที คือผลิตทั้งคันอะ 50 นาทีก็จริง แต่ จากขั้นตอนหนึ่งไปขั้นตอนสอง ใช้เวลา 1 นาที
- ทำให้การสร้างรถจากคันหนึ่ง ไปอีกคัน มันเสร็จภายในนาทีเดียว
- ผม : อ๋ออออออออ เข้าใจแล้ว ๆ แล้ว ในเมื่อมีเครื่องแบบนั้น ทำไมไม่ซื้ออะ
- เพื่อน : สัส มึงนี่แม่งจะซื้ออย่างเดียวเลย แปป ๆ กู “เติม” ก่อน
- ผม : โอเค ๆ กูยังไม่เห็นภาพว่า Know how มันสำคัญขนาดนั้นอะ
- คือแบบ ยังคิดอยู่ว่า Know how แม่งมันเจ๋งขนาดนั้นเลยหรอ
- เพื่อน : เฮ้ออออออออออ เอางี้ มึงเทียบ Know how เป็นสิทธิบัตรอะ สมมติไทยมีพัน เยอรมันมีล้าน
- ผม : แล้วเราก็ซื้อดิ ซื้อไม่ได้หรอ (ยังไม่จบ ยังอยากจะซื้ออีก)
- เพื่อน : มึงนึกออกไหม ลองนึกดี ๆ คือมัน มีให้ใช้ฟรี ๆ 1 ล้าน มึงมีพันเดียว มึงต้องซื้ออีก เก้าแสนเก้า
- ผม : อ๋ออออ เพราะไทยมีพัน แต่เยอรมันมีล้าน ถ้าใครจะซื้อ เงินก็จะไปกองที่เยอรมัน ?
- เพื่อน : ใช่
- ผม : เราก็ซื้อของเค้าได้ดิ
- เพื่อน : แต่มึงเปลืองตังค์ไปเท่าไหร่ ?
- ผม : …………………………
- เพื่อน : แล้วตังค์นั้นอะ มันก็เอาไปสร้างโรงงานใหม่ได้ สมมติมึงต้องทุ่มทุน 1 ล้าน เพื่อซื้อ Know how ของเค้าเนี่ย กลายเป็นว่ามึงได้โรงงานเดียวที่สุดยอด แต่มันสามารถสร้างได้ 4 โรงงาน
- ผม : ยังไงก็แพ้อยู่ดี
- เพื่อน : ใช่
- ผม : เหี้ยยยยยยย หดหู่สัส
- เพื่อน : เอางี้ อย่าง Intel เป็นโคตรพ่อโคตรแม่แห่งคลังสมอง สิทธิบัตรแม่งเป็นล้าน มันมี Know how เป็นล้าน เอางี้ หลักการของ Intel ทีง่าย ๆ คือ 1 ปีจะพัฒนาตัวโครงสร้างของตัว CPU อีก 1 ปีคือลดขนาด
- เพราะงั้นมันจึงมี Know how ของพวกนี้
- เหมือนเมื่อไม่กี่ปีก่อน ชิป Intel มัน 42 นาโนเมตร ตอนนี้มันจะต่ำกว่า 10 แล้ว
- ผม : อ๋อออออออออ แสดงว่าในระหว่างที่มันกำลังลดขนาด CPU ในแต่ละปีเนี่ย ..
- เพื่อน : มันก็สร้าง Know how ขึ้นมาเรื่อย ๆ และ Know how พวกนั้นก็เอาไปทำอย่างอื่นได้
- ผม : อ๋อ เหมือนเทคโนโลยีอวกาศ ว่าแต่เทคโนโลยีอวกาศมันช่วยอะไรในชีวิตประจำวันเราบ้างวะ
- เพื่อน : เช่น เทคโนโลยีกันไม่ให้ยานไหม้ นำมาสร้างเป็นภาชนะทนความร้อนได้ ใช้ในครัว
- และอันนึงที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน คือ GPS มึงรู้ไหม GPS เกิดขึ้นได้เพราะทฤษฎีสัมพัทภาพของไอนสไตน์นะ
- ผม : เดี๋ยว ๆ ทฤษฎีสัมพันภาพมันเกี่ยวยังไงอะ
- เพื่อน : เพราะดาวเทียมเนี่ย มันหมุนโคจรรอบโลกเท่ากับความเร็วที่โลกหมุนนะ
- สมมติดาวเทียมไทย มันจะส่งสัญญามาที่เมืองไทยได้ มันก็ต้องโคจรรอบโลก เท่ากับความเร็วที่โลกหมุน
- ไม่งั้นมันก็ลอยอยู่บนฟ้าเฉย ๆ แล้วส่งสัญญาณมั่ว ไปประเทศอื่น
- คือมันต้องลอยอยู่เหนือไทย และลอยตามประเทศไทย ความเร็วตามที่โลกหมุน
- นึกภาพง่าย ๆ เหมือนมึงเป็นรถไฟความเร็วสูง แล้วมึงอยากถ่ายรูปคนที่นั่งอยู่ที่หัวขบวน มึงก็ต้องวิ่งให้เท่าความเร็วมัน ดาวเทียมมันก็ทำแบบนั้น
- แล้วทฤษฎีสัมพัทภาพมันบอกว่าไง ?
- ยิ่งความเร็วใกล้แสง ยิ่งเวลาเดินช้า
- ผม : อ่า แล้ว ?
- เพื่อน : เพราะฉะนั้น เวลาบนดาวเทียมกับโลก เดินไม่เท่ากัน เพราะมีทฤษฎีนี้ เราเลยรู้เวลาคลาดเคลื่อน ถ้าเราไม่รู้เวลาบนดาวเทียมกับโลกต่างกันเนี่ย เราก็จะคำนวณ GPS ไม่ได้เลย เพราะว่ามันจะคลาดเคลื่อนมาก ระดับ 3-4 กิโล เวลาแค่เสี้ยววิอะ ระดับความคลาดเคลื่อน 3-4 กิโล
- ผม : งั้นกลับมาเข้าเรื่อง ทำยังไงให้ Know how เราเยอะล่ะ
- เพื่อน : ก็เพิ่มการวิจัย แต่ปัญหาของประเทศไทยคืออะไรรู้ไหม มันก็จะมีคน บอกว่า “เนี่ยอาจารย์ไม่ได้สอน มัวแต่ทำวิจัย” ความรุงรังของประเทศไทยคือ บ้านเราบ้างานวิจัยที่ใช้งานได้ ทั้งที่จริง ๆ แล้วเนี่ย
- มันต้องมีงานวิจัยขึ้นหิ้งซัก 100 อัน เราถึงจะมีงานวิจัยที่ใช้งานได้ซัก 3 อัน
- ผม : อ่า ๆ นึกออก
- เพื่อน : มึงนึกดูนะ ถ้าไม่มีระบบ GPS เนี่ย การรู้เวลาที่นี่กับที่นั่นต่างกัน มึงเอาไว้ทำอะไร ?
- ผม : เออวะ เราจะรู้ไปทำไม ว่าถ้าเราอยู่อียิปต์เวลานี้ แล้วตอนนี้เวลาในกรีกเป็นเวลาเท่าไหร่ กี่โมง แล้วอาจารย์ต่างประเทศเค้าทำวิจัยแบบเราปะ หนักแบบเราปะ
- เพื่อน : หนักเหมือนกัน แต่ไม่หนักเท่า รู้ไหมเพราะอะไร
- ผม : เพราะอะไร
- เพื่อน : เค้ามีนักวิจัย ที่ทำงานวิจัยอย่างเดียวด้วย แต่บ้านเรานักวิจัยเฉย ๆ อะ น้อย
- ผม : และก็ไม่รวย
- เพื่อน : ใช่ ยกเว้นจะเป็นนักวิจัยให้กับบริษัทเอกชน อันนั้นรวย ชื่ออาชีพว่า Researcher เลย
- ผม : แล้ว ๆ แล้วทำไมบ้านเราไม่มีนักวิจัยเยอะแบบนั้นบ้างอะ
- เพื่อน : สัส บ้านเราไม่ให้ความสำคัญไง
- ผม : ………………
- เพื่อน : เติมแปป
- ผม : โอเค ๆ
- เพื่อน : กูมีเรื่องนึงจะเล่า มึงต้องกระอักเลือดตายแน่ ๆ
- ผม : เรื่องอะไร
- เพื่อน : ยุโรปเนี่ย คริสตศักราชเนี่ย กี่ปีละ
- ผม : 2017
- เพื่อน : ยุโรปนี่มีอาณาจักร ก่อนคริสตกาลแล้ว โรมันเนี่ย ก่อนคริสตกาลใช่ไหม
- ผม : อ่า ๆ
- เพื่อน : โรมัน กรีก ก่อนคริสตกาลถูกไหม นั่นแหละ และด้วยความจดบันทึกของมัน ยุโรปเลยมีองค์ความรู้ ตั้งแต่เมื่อ 3 พันปีที่แล้ว สะสมมาถึงปัจจุบัน
- ส่วนไทย …. มีแค่ 400 ปี
- ผม : ………………..
- เพื่อน : 400 ปีนี่มากแล้วนะ จริง ๆ ไม่ถึง
- ผม : …………… แล้ว ๆ แล้วทำไมบ้านเราถึงไม่จดบันทึกอะ
- เพื่อน : มันนาน การจดบันทึกมันใช้เวลาเยอะ แล้วจารึกต่าง ๆ ไม่ได้มีไว้ให้คนอ่าน มันเป็นการจดให้เจ้าอ่าน ดังนั้นศิลาจารึก จึงมีเรื่องพวก ใครเกิดเมื่อไหร่ ไปรบกับใคร ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์เลย
- ผม : ………….
- เพื่อน : เอางี้ มึงเคยกินชเว๊ป มะนาวโซดา ใช่ปะ
- ผม : เคย แล้วมันยังไง
- เพื่อน : บริษัทชเว๊ปเนี่ย ที่ทำน้ำอัดลมเนี่ยนะ มันก่อตั้งขึ้นสมัยอยุธยา
- ผม : แล้ว แล้วยังไงอะ
- เพื่อน : คือจะบอกว่าในสมัยอยุธยา ที่ไม่มีเหี้ยอะไรเลย มีบริษัทน้ำอัดลมตั้งขึ้นมาแล้ว ….. ในยุโรป
- ผม : ……………
- เพื่อน : ยัง มึงยังหดหู่เร็วไป
- ผม : มีอีกหรอ
- เพื่อน : รู้จัก IBM ไหม
- ผม : มันคือ ?
- เพื่อน : บริษัทขายคอม มันเป็นบริษัทที่รวยเงียบ ๆ มึงลอง Google ดู
- ผม : แปป ๆ เติมก่อน
- เพื่อน : อย่าเติมเยอะ เดี๋ยวไม่มีสติ
- ผม : กูเพิ่งเติมเองสัส โอเค ๆ Google ละ ไอ….บี….เอ็ม…. ว่าแต่มันเป็นอะไรอะ
- เพื่อน : มันคล้าย Apple ผลิตคอม และทำอย่างอื่นด้วย เมื่อก่อนเค้าเรียกคอมมึงอะ เค้าเรียก IBM PC clone คอมทุกเครื่องที่เป็นคอมส่วนตัว เค้าจะเรียกว่า IMB PC clone หมดเลย เพราะมันมาก่อนเพื่อน
- คือคนแรกที่คิด Personal computer การเอาอันนั่นอันนี่ เพื่อประกอบมาเป็นคอม คือ IBM
- อ่า ๆ มึงลองเข้าไปดูในวิกิ ว่ามันอายุกี่ปีแล้ว มึงจะต้องอึ้ง
- ผม : อ่า ๆ ก่อตั้งเมื่อ 18 มิถุนา 1911 ….
- เพื่อน : 1911 เรียกง่าย ๆ ว่า ร้อยกว่าปีแล้ว
- ผม : แล้วร้อยปีก่อนไทยเป็นยังไง
- เพื่อน : พ.ศ. 2460 สมัยนั้นยังไม่มีประชาธิปไตยเลย
- ผม : ……..
- เพื่อน : เรายังปกครองกันแบบ สมบูรณาญาสิทธิราชอยู่เลย สมัย ร.6 อะ สมัยยังมี “นายใน” อะ
- ผม : “นายใน” นี่เอาลงเพจไม่ได้ใช่ปะ
- เพื่อน : ไม่ได้ ๆ
- ผม : โอเค ๆ
- เพื่อน : ในสมัยนั้น ประเทศไทยมีไฟฟ้าใช้ในบางส่วนแล้ว ในกระจุกที่เล็กมากเลย เล๊กกกกกกกกกก เล็ก
- แล้วสมัยนั้นก็ถ่ายรูปได้แล้วนะ แต่สำหรับเจ้าและมหาเศรษฐี
- ผม : สมัยนั้นมีรูปถ่ายแล้ว ?
- เพื่อน : มีแล้ว ๆ และ ณ ขณะนั้น ยุโรปถ่ายรูปกันเป็นปกติ เป็นล่ำเป็นสัน
- ผม : อ๋อออออ
- เพื่อน : เอาง่าย ๆ สมมติว่าช่วงนั้น ไทยถ่ายรูปเจ้าได้แล้ว ยุโรปเนี่ย มีร้านถ่ายรูปที่คนธรรมดาถ่ายได้แล้ว เหมือนบูธถ่ายรูปบ้านเราอะ
- ผม : ………………
- เพื่อน : มึงรู้ไหมว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิตเลอร์มีรูปถ่ายเก็บไว้แล้วหลายรูป ในขณะที่ไทย …. รูปสี เพิ่งแพร่หลายในไทย เมื่อไม่นานมานี้เอง ประมาณ 10 – 20 ปีนี้เอง เอาง่าย ๆ รูปป้ากู ยังเป็นข่าวดำอยู่เลย
- ผม : เดี๋ยว ๆ ยุโรปมีรูปสีตั้งแต่สมัยฮิตเลอร์แล้วหรอ
- เพื่อน : ใช่ ยุโรปยุคฮิตเลอร์ ก็มีรูปสีแล้ว ไม่เชื่อลอง Google ว่า World war 2 in color เดี๋ยวก็เติมพลาง ๆ
- ผม : (พอลอง Google ดู ) เออวะแม่ง จริงด้วย แล้ว ๆ ทำไมในสมัยฮิตเลอร์ ไทยถึงไม่สามารถ ซื้อนวัตกรรมถ่ายภาพสีได้อะ มันไม่ขายหรอ
- เพื่อน : มันแพง
- ผม : แสดงว่าราคาของ Know how มันแพงมาก ?
- เพื่อน : ใช่ และอีกอย่างนึงนะ ในสมัยนั้นถ้าเทียบกับยุโรปเนี่ย สภาวะการคลังของไทยนี่ “กรอบ” เหี้ย ๆ เลย เพราะว่า No.6 เอาตังค์ไปซื้อบ้านให้คนสนิทหมด
- ผม : เรื่อง No.6 ซื้อบ้านนี่เอาลงเพจไม่ได้ใช่ปะ
- เพื่อน : ใช่
- ผม : โอเค
- เพื่อน : แล้วอีกอย่างนึงอะไรรู้ไหม เราเพิ่งมีธนาคารครั้งแรกเมื่อสมัย ร.6 แต่ว่ายุโรปมีตั้งแต่ปี 14
- มหาลัยแห่งแรกของโลก เป็นพัน ๆ ปีแล้ว
- ผม : สมัยนั้นไทยเป็นอะไรอยู่
- เพื่อน : ไทยยังอยู่สโขทัยอะ
- ผม : ………….. โอเค เอางี้ ๆ กลับเข้าเรื่อง ตอนนี้ Know how เราน้อยมากเลย Know how ยุโรปเยอะ เราจะทำยังไงให้เยอะแบบเค้าบ้าง
- เพื่อน : สัส ก็กูบอกไปแล้ว ก็ส่งเสริมงานวิจัยไง
- ผม : เอ้า แล้วบ้านเราไม่ส่งเสริมหรอ
- เพื่อน : ก็บ้านเราไม่ให้ความสำคัญไง
- ผม : เฮ้ย งบกระทรวงศึกษาเราเยอะมากเลยนะ เทียบกับ GDP อะ
- เพื่อน : จริง ๆ เนี่ย ถึงงบจะเยอะ แต่ 50% ของงบกระทรวงศึกษา หมดไปกับค่าจ้างครู แต่ถึงอย่างนั้น เงินเดือนครูบ้านเราก็ยังไม่ได้แพงมากอยู่ดี และส่วนหนึ่งเป็นเพราะ งบมันไปอยู่ที่กระทรวงกลาโหมแทน
- ผม : เฮ้อออออออออออออ โอ้ยยยยยยยย เหี้ย ๆๆๆๆ ทำไมชีวิตมันระยำขนาดนี้วะ
- เพื่อน : จะบอกให้ อเมริกาใช้งบกลาโหมเยอะมาก
- ผม : นั่นไง เห็นไหม มันก็เจริญ
- เพื่อน : แต่ …. มันมีเงิน มันมีบริษัทอาวุธในประเทศ มึงนึกออกไหม เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ซื้อขายอาวุธในเมกาเนี่ย มันก็หมุนอยู่ในประเทศมันอะ ภาษีก็เข้ารัฐมันอยู่ดี เอาง่าย ๆ Know how เกี่ยวกับอาวุธ เกี่ยวกับรถถัง
- และ … ที่สำคัญ มึงไม่สามารถซื้อ
Advertisement
Add Comment
Please, Sign In to add comment
Advertisement